Memory of
BAN POON
HERITAGES
วัดสวนสวรรค์
วัดสวนสวรรค์ ถูกทิ้งร้างไปเมื่อ พ.ศ. 2463 ก่อนจะถูกบูรณะใหม่และรวมเข้ากับวัดคฤหบดีใน พ.ศ. 2519 ภายในตัววัดเหลือแค่อุโบสถกับเจดีย์ มีเสมาแบบพิเศษหักมุม ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าหลังจากการสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา น่าจะมีการบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 1 อุโบสถวัดสวนสวรรค์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงสูงหลังคาไม่ซ้อนชั้น ซึ่งอาจสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงต้นรัตนโกสินทร์
โรงทำขนมจีน
โรงทำขนมจีน ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เคยเป็นของดีประจำชุมชนบ้านปูนและเลื่องลือไปหลายชุมชนในฝั่งธนบุรี โดยโรงทำขนมจีนนั้นจะอยู่ถัดออกไปจากโรงเตาอั่งโล่ ใกล้กับบริเวณท่าล่าง ดูแลโดยชาวจีนชื่อ ยายเนี้ยว ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งโรงงานทำขนมจีนแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ดินของตระกูลธนะภูมิ จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชนเล่าว่าในอดีตจะมีเรือมารอรับขนมจีนในบริเวณนี้กันอย่าง
โรงเตาอั้งโล่และโรงปูน
โรงเตาอั่งโล่ ชุมชนบ้านปูนเดิมที แบ่งเป็นท่าบนและท่าล่าง โดยชุมชนบ้านปูนในปัจจุบันคือส่วนของ “ท่าบน” เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมาตั้งแต่อดีต เดิมทีบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงทำเตาอั้งโล่ เรียงติดกันจำนวน 4 - 5 โรง
โรงฝิ่น
โรงยาฝิ่น คนในชุมชนบ้านปูนเชื้อสายจีนที่อพยพเข้ามาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ผ่อนคลายให้กับลูกจ้างในโรงสุราบางยี่ขันและผู้คนรอบข้างในบริเวณนี้ โดยสรรพคุณของฝิ่นนั้นจะทำให้ร่างกายของผู้เสพรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ระงับความเจ็บปวด ซึ่งถือเป็นยาชั้นดีของลูกจ้างแรงงานในโรงสุราบางยี่ขัน
ศาลาโรงธรรม
ศาลาโรงธรรม เป็นศาลาใต้ถุนสูงชั้นเดียว ยกพื้นสำหรับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ สูงกว่าระดับพื้นปกติประมาณ 60 ซม. พอก้าวขึ้นลงได้สะดวก ตรงกลางตั้งธรรมาสน์สำหรับพระสงฆ์เทศน์ ใต้ถุนศาลาโรงธรรมด้านที่ยกพื้นสูง แต่เดิมมีเรือเก็บเอาไว้ 1 ลำ จอมพลประภาส จารุเสถียร ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านว่า บรรพบุรุษของท่านบอกเล่าไว้ว่า เรือลำดังกล่าวใช้เป็นพาหนะหนีพม่าลงมาจากกรุงศรีอยุธยาก่อนที่กรุงเก่าจะเสียแก่พม่า ในปันจุบันเรือลำนี้ชำรุดผุพังและสูญหายไปแล้ว
บ้านตีมีด
บ้านตีมีด เป็นธุรกิจเล็กๆ ของคุณลุงไสวและครอบครัว ที่ย้ายจากจังหวัดพระนครศรีอยุธนามายังชุมชนบ้านปูน บางยี่ขัน เพื่อหาเงินให้เพียงพอต่อค่าครองชีพในแต่วัน จึงได้นำทักษะการตีมีดที่ติดไม้ติดมือของตนมาใช้ประกอบอาชีพ โดยการรับทำมีดและกรรไกรตัดผมแบบโบราณ ด้วยความคม ความประณีต และความชำนาญ ทำให้ชื่อเสียง
โรงสุราบางยี่ขัน
หลังจากการทำสงครามไทยลาว เจ้าตัสสะ พระอนุชาต่างมารดาของเจ้าอนุวงศ์ ได้ตัดสินใจยอมจำนนต่อฝ่ายไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น "นายอากร" ผูกขาดสุราของบางกอก โดยมีสมาคมนักลงทุนชาวจีนดูแลสัญญาและข้อตกลงทางธุรกิจว่าด้วยการผูกขาดของพระองค์ กระทั่งในที่สุดได้ก่อตั้งโรงกลั่นสุราบริเวณริมน้ำบางยี่ขัน หรือบริเวณที่ตั้งเดิมของวังลาว (ปัจจุบันพื้นที่นี้กลายมาเป็นสวนหลวงพระราม 8 และสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา)
กำแพงวังเจ้าอนุวงศ์
กำแพงวังเจ้าอนุวงศ์ หรือ วังเจ้าลาว สันนิษฐานว่าซากกำแพงดังกล่าวคือ วังของเจ้าอนุวงศ์ หนึ่งในสามของเชื้อพระวงศ์เวียงจันทน์อันได้แก่ เจ้านันทเสน เจ้าอินทวงศ์ และเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งถูกนำตัวเข้ามาเมื่อครั้งกองทัพกรุงธนบุรีตีนครเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ. 2322 แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินและวังให้เป็นที่ประทับ ณ บางยี่ขัน ซึ่งเป็นหลักฐานของการเข้ามาอยู่อาศัยของเจ้านายจากกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ในช่วงรัชกาลที่ 3
ศาลเจ้าปึงเถ้ากง
ศาลเจ้าปึงเถ้ากง เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่อยู่คู่ชุมชนมาอย่างยาวนาน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ เทพประธานของศาลแห่งนี้ คือ เทพปึงเถ้ากง (ปึงเถ่ากง ปูนเถ้ากง โทวตี่กง) หรือ อากง ความหมายในภาษาไทยคือ ปู่ ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่าแต่ละท้องที่จะมีเทพประจำถิ่น โดยชาวจีนแต้จิ๋วเรียกว่า
โรงผักกาดดอง
โรงทำผักกาด เป็นหนึ่งในอาชีพของชาวบ้านในชุมชนบ้านปูนที่ทำมาตั้งแต่อดีต โดยขั้นตอนการทำนั้น ชาวบ้านจะนำผักกาดที่ซื้ิอมาจากปากคลองตลาด ทำความสะอาด เลือกคัดใบที่สวยน่ารับประทาน หลังจากนั้นนำมาขยำพร้อมใส่ลงไปในโอ่งหรือปี๊ป ปิดท้ายด้วยการแช่ผักกาดด้วยน้ำมะพร้าวและเกลือ ก่อนจะปิดฝาหรือเอาอิฐมอญทับไว้ ใช้เวลาในการดองทั้งหมด 1 อาทิตย์หรือรอจนกว่า
IMPORTANT PERSONS
2 ตระกูลผู้บุกเบิก
(จารุเสถียร และ ธนะภูมิ)
ตระกูลธนะภูมิ ต้นตระกูลธนะภูมิ คือ ขุนสุขุมนาฏนิตยภักดี (ทิม ธนะภูมิ) ปลัดกรมในสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีในรัชกาลที่ 5 โดยบรรพบุรุษของสกุลธนะภูมินี้เป็นผู้ริเริ่มการทำปูนขึ้นที่บ้านปูน บางยี่ขัน และถือว่าเป็นพระญาติทางฝ่ายมารดาของเจ้าคุณจอมมารดาสำลี พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 เจ้าจุลจอมมารดาสำลีเป็นธิดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) และเป็นเจ้าจอมมารดาในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นพระมารดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพย์รัตน กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ และจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คนในตระกูลนี้บางทีก็ถูกเรียกกันว่า "พระญาติบ้านปูน"
ตระกูลจารุเสถียร บรรพบุรุษของตระกูลนี้อพยพมาจากอยุธยาพร้อมกับบรรพบุรุษในตระกูลธนะภูมิ มีความสนิทสนมและนับถือกันเหมือนญาติสนิท เท่าที่มีหลักฐานปรากฏคือ พระยาพายัพ พิริยะกิจ (เป้า จารุเสถียร) อดีตผู้ว่าราชการเมืองพระประแดง บิดาของพลเอกจำเป็น และจอมพลประภาส จารุเสถียร
อาภรณ์ นพคุณ
อาภรณ์ นพคุณ ชาวบ้านชุมชนบ้านปูนในวัย 88 ปี ที่เกิดและเติบโตอยู่ในชุมชนบ้านปูนมาตลอดทั้งชีวิต รับรู้และเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ปัจจุบันประกอบอาชีพค้าขาย เปิดร้านขายของชำให้กับชาวบ้านและผู้ที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมชุมชนบ้านปูน เหตุผลที่ทำให้อาภรณ์ นพคุณ ยังคงอยู่ในชุมชนบ้านปูนต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้ย้ายออกไปเหมือนกับคนอื่นๆ ก็คือค่าเช่าบ้านมีราคาถูก เป็นหนึ่งในส่วนที่ตระกูลธนะภูมิดูแลและเป็นเจ้าของ ในอดีตค่าเช่าบ้านอยู่ในราคาเดือนละประมาณ 300 - 400 บาท บางบ้านก็ละเว้นการเก็บค่าเช่า ช่วยทำให้คนในชุมชนมีที่อยู่อาศัยและสามารถดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน ซึ่งอาภรณ์ นพคุณ ถือเป็นผู้อาวุโสที่สำคัญของชุมชน เพราะเป็นบุคคลที่รับรู้เรื่องราวของชุมชนบ้านปูนเยอะที่สุดในตอนนี้ ในวัยที่อายุเยอะ วันเวลาก็ไม่แน่นอน จุดประสงค์ในการทำเว็บไซต์นี้ ก็เพื่อเป็นการเก็บความทรงจำส่วนหนึ่งของอาภรณ์ นพคุณเกี่ยวกับชุมชนบ้านปูนไว้ให้ลูกหลานได้รับรู้สืบต่อไป
ศรีเชาว์ ทองโปร่ง
นายศรีเชาวน์ ทองโปร่ง อายุ 67 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณะกรรมการและประธานชุมชนบ้านปูน เขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร เกิดและเติบโตในชุมชนบ้านปูน เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนมาตลอดทั้งชีวิต
ประวัติการศึกษา เคยศึกษาที่โรงเรียนศรีวิทยาลัย จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อมาได้มาศึกษาต่อที่โรงเรียนนาฎศิลป์จนจบชั้นสูง ก่อนจะเข้าเรียนปริญญาตรีที่เทคโนโลยีและอาชีวะศึกษา จบปีการศึกษาปี พ.ศ. 2524 นายศรีเชาวน์เคยประกอบอาชีพครูสอนพิเศษนาฏศิลป์ที่โรงเรียนต่างๆ เช่นโรงเรียนอัสสัมชัน วิทยาลัยครูบางเขน กรมส่งเสริมการเกษตร ต่อมามีโอกาสได้เป็นตัวแทนเดินทางไปพร้อมคณะเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมศิลปะการแสดงไทย อย่างเช่น โขน ในต่างประเทศ อาทิเช่น อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 นายศรีเชาน์ได้เดินทางกลับมาอยู่ที่ชุมชนบ้านปูนและได้เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นกรรมการชุมชน ด้วยการทำความดีของนายศรีเชาวน์ทำให้ชาวบ้านเกิดความไว้วางใจ จึงได้รับเลือกเป็นประธานชุมชนในปี พ.ศ.2556 และจะหมดวาระในปี พ.ศ.2568
LEGENDARY
TALES